• ยินดีต้อนรับ, บุคคลทั่วไป



  • กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

    เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

    ผู้เขียน หัวข้อ: ผลการแปลงออยเกียร์น้ำมาเป็นออยเกียร์อากาศ  (อ่าน 3398 ครั้ง)

    ส.b4

    • บุคคลทั่วไป
    แปลงออยล์เกียร์มาเป็นแบบอากาศหลายเดือนแล้วครับ  เพิ่งจะมีโอกาสอัดหนักๆ ก็เลยมารายงานสู่ชาว vw-thai
    ตั้งแต่ 26 ต.ค. ถึง 27 พ.ย. นี้ จากกรุงเทพฯ-เชียงราย ฃึ้นดอยแม่สะลอง และภูเขาลูกอื่นๆ อีก ผมก็ไม่รู้ว่าเขาเรียกว่าอะไร
    แต่ก็เป็นภูเขาสูงชัน มัทั้งทางลาดยางและทางดิน เอาเป็นว่าจะพูดแต่เรื่องออยเกียร์ก็แล้วกันนะครับ

    ผมเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ จากของโฟล์ค มาเป้น caltex  Texamatic 1888 อันนี้ตามคำแนะนำไว้ในเว็บของพี่ช่างเหอะ
    กรุงเพฯ-เชียงราย (ต.ป่าซาง อ.แม่จัน แล้วขึ้นดอยไปอีก 20 กม.ถึงที่พัก ) พักเข้าห้องน้ำตามปั้ม กินข้าวที่ร้องกวาง (แกงอ่อม+ต้มยำไข่อ่อน)

    ช่วงนี้เป็นฤดูหนาว ภาคเหนืออากาศเย็น

    วิ่งทางเรียบแถวภาคกลาง อุณหภูมิน้ำกลางคืนเข็มชี้ที่ 80 องศา กดMFA อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง 78  เอามือแตะคอนโซลเกียร์ ตรงใกล้ๆด้ามเกียร์ เมื่อก่อนแปลงออยเกียร์มันจะอุ่นๆ ครับ ถ้ารถติดก็ร้อนเลยครับ เดี๋ยวนี้แปลงแล้วเอามือแตะดูเย็นเท่ากับของอื่นๆที่อยู่ในรถนั่นแหละ  แปลว่าอุณหภูมิน้ำมันเกียร์ไม่ร้อนเกินไป แต่จะอยู่ที่เท่าไรผมไม่มีเครื่องวัด

    ปัญหาเรื่องเกียร์เรรวน กระตุกพุ่งวูบวาบ ยามเครื่องร้อนเมื่อรถติด หายแบบเบ็จเสร็จเด็ดขาดไปลเยครับ แต่ครับ แต่ว่า

    ต้องเปิดแอร์ตลอดครับ ถ้าปิดแอร์แล้วพัดลมหม้อน้ำจะหยุดทำงาน เอามือแตะคอนโซลตรงใกล้ๆ ด้ามเกียร์ก็จะรู้สึกร้อนขื้นมาทันที
    ใจหายวูบเลยครับ ต้องรีบเปิดแอร์ครับ มันก็จะกลับไปเย็นเจี๊ยบเหมือนเดิมครับ ข้อเสียก็คือเราปิดแอร์วิ่งไม่ได้ บางครั้งวิ่งทางไกลกลางคืนอากาศเย็นถ้าปิดแอร์จะประหยัดเชื้อเพลิงไปอีกเยอะนะครับ เคยลองแล้ว กรุงเทพเชียงราย เจ็ดร้อยห้าสิบกว่าโล เปิดแอร์วิ่งเสียค่าแก๊ส LPG ไปประมาณหนึงพันกว่าบาท ไม่ถึงพันสอง(ลิตรละ 12.5-12.99 บาท)  ถ้าปิดแอร์วิ่งเสียประมาณแปดร้อยกว่าๆ ครับ (บรรทุกของมามีทั้งข้าวสาร ไวน์อีกสองลัง ของฝาก เสื้อผ้าสัมภาระ คนอีกสี่คน รวมถังแก๊สด้วย แล้วหนักประมาณ สามร้ยกว่ากิโล)  

    วิ่งทางเรียบกลางวันแถวภาคกลาง อุณหภูมิน้ำอยู่ที่ 80-90 อุณหภูมิMFA น้ำมันเครื่อง 84-86  
    ทางเรียบภาคเหนือ อุณหภูมิน้ำอยู่ที่ 70-80 อุณหภูมิMFA น้ำมันเครื่อง 74-80

    วิ่งบนภูเขา อากาศเย็น ขึ้นดอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าสูงเท่าไร คงประมาณ 1500-1600 เมตรจากระดับน้ำทะเล
    ก่อนแปลงออยเกียร์ อุณหภูมิน้ำมันเครื่องเคยอยู่ที่ 118-120 อุณหภูมิน้ำ 90 มือแตะคอนโซลดูร้อนจี๋เลยครับ
    แปลงออยเกียร์แล้ว อุณหภูมิน้ำมันเครื่องอยู่ที่ 110-112 อุณหภูมิน้ำ 90 มือแตะคอนโซลดู เย็นเจี๊ยบอีกแล้วอ้ะ

    สรุปครับ

    การถอดออยเกียร์น้ำที่ติดมากับรถออก แล้วเปลี่ยนเป็นรังผึ้งแบบออยเกียร์อากาศ สามารถตัดปัญหาเครื่องร้อยน เกียร์รวนได้ครับ
    ( วิ่งในกรุงเทพฯ อุณหภูมิ น้ำมันเครื่องไม่เคยเกิน 104 ไม่ว่ารถจะติดแค่ไหนก็ตาม ถ้าพัดลม step2 ทำงาน แต่ไม่ว่าเครื่องจะร้อนยังไงก็ตาม เกียร์ก็ยังเย็นเฉียบครับ ไม่ต้องห่วงเรื่อง working temp ครับ เครื่องรุ่นนี้ออกแบบมาใช้ลุยหิมะครับ เย็นแค่ไหนก็ไม่กลัว ไม่ต้องคิดมากครับ แก้ปัญหาเกียร์รวนได้สนิท ฟันธงเลยครับ)

    สำหรับน้ำมันเกียร์ caltex Texamatic 1888 ความรู้สึกผมไม่แตกต่างจากน้ำมันลิตรละ 7-8 ร้อยเลยครับ ไม่แตกต่างจริงๆ
    ที่ปั๊มน้ำมันขายเก้าร้อยกว่าก็ซื้อไปเหอะ สำหรับผมแล้วนะ ขับลุยมาขนาดนี้แล้วไม่กลัวอะไรอีกแล้วเรื่องน้ำมันเกียร์ (ขึ้น-ลงดอย คันเกียร์ที่ตำแหน่ง 2-3 ตลอด)

    อันนี้ไม่ได้โฆษณาให้เขานะ เดี๋ยวอาจจะมีคนสงสัย ก็บอกซะก่อนเลย ไปติดตั้งที่อู่ช่างแมว ลาดปลาเค้า 24 ก็รู้จากในเว๊บนี้นะแหล่ะ
    เป็นของรถ BMW เห็นสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่บนรังผึ้งเขียนไว้ยังงั้นด้วย  

    [ 28 พ.ย. 2552 , 14:49:10 น

    • บุคคลทั่วไป
    -ขอทราบว่าทำอย่างไรครับช่วยอธิบายให้ฟังด้วยถ้ามีรูปก็จะดีมากครับ
    28 พ.ย. 2552 , 18:21:09 น

    whitePASSAT

    • บุคคลทั่วไป
    ขอบคุณที่ถ่ายทอดความรู้ที่กำลังสนใจ  ผมขอข้อมูลเพิ่มครับ  พัดลมใช้แบบเดิมๆหรือว่าดัดแปลงแล้วครับ
    28 พ.ย. 2552 , 18:37:51 น

    ส.b4

    • บุคคลทั่วไป
     ขออภัย ผมส่งรูปไม่เป็นครับ แต่พอจะใช้การอธิบายได้ ว่า เขาถอดเอา ออยคูลเลอร์รูปร่างเหมือนปลากระป๋องกล่องแบน ที่อยู่บนห้องเกียร์แถวๆ ใต้แบตเตอรี่ออก แล้วเอาน้อตสองตัวที่ถอดออกมานั้นน่ะ ไปเป็นตัวอย่างกลึงใหม่ ให้มันมีหัวเป็นแบบที่ใช้สำหรับเสียบท่อยางไฮดรอลิคได้ แล้วก็เอาน้อตตัวใหม่สองตัวเนี๊ย
    ไปใส่แทนที่ตัวเก่า แล้วต่อท่อยางสำหรับน้ำมันไฮดรอลิค สองเส้น ไป-กลับ โดยต่อไปยังรังผึ้งตัวเล็กๆสำหรับระบายความร้อนน้ำมันเกียร์ รังผึ้งนี้ติดไว้ด้านหน้าของรังผึ้งแอร์ เขาไม่ติดประกบชิดเลย เว้นระยะห่างประมาณหนึงเซนต์ คงมีเหตุผลของเขา ต้องเติมน้ำมันเกียร์เพิ่มไปด้วยนะครับ

    ผมสังเกตดูที่ปลายน้อตกลึง เขาทำเป็นตุ้มกลมๆ ไว้สำหรับกันท่อยางลื่น

    และที่ปลายท่อทั้งสองของฝั่งรังผึ้ง ดูแล้วมีรอยเชื่อมไอ้ตุ้มกลมๆ นี้เหมือนกัน ไว้สำหรับกันท่อยางลื่นหลุด แล้วก็ใช้เหล็กรัดท่อยางทั่วไปรัดไว้

    ถ้าอย่างไรก็เปิดดูกระทู้เก่าๆ ที่ผ่านมาก็ได้ครับ มีรูปภาพด้วย คุณค้นคำว่า ออย, ออยล์, oil, cooler,เกียร์, อากาศ, อะไรทำนองนี้นะครับ  แต่ในความเห็นผมนะ ตัวเองจะเป็นช่างหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ถ้าไม่ได้เปิดอู่เองละก็ งานนี้ไปจ้างเขาดีกว่า คุ้มค่าเงิน-เวลา อู่ไหนก็ได้ครับ เลือกเอาในเว็บนี้แหละครับ

    ส่วนพัดลมหม้อน้ำนั้น ก็ใช้ของเดิมครับ ไม่ได้มีการดัดแปลงอะไร

    29 พ.ย. 2552 , 10:09:20 น

    • บุคคลทั่วไป
    ออยคูลเลอร์รูปร่างเหมือนปลากระป๋องกล่องแบน

    ^
    ^
    ^

    เออใช่  เหมือนจริงๆ ด้วย

    5 5 5 5

    29 พ.ย. 2552 , 10:25:36 น

    Passat B4 ลพ

    • บุคคลทั่วไป
    ยินดีที่ทำแล้วแก้ปัญหาได้และถูกใจเจ้าของรถครับ ของผมก็แปลงแล้วเหมือนกันรู้สึกดีกับมันเช่นกันแต่ไม่ได้เห็นความแตกต่างมากอย่างที่คุณส.B4 เล่าอาจเป็นเพราะไม่ได้สนใจเก็บรายละเอียดครับ

    คุณ whithpassat พัดลมตัวหลักเดิมของมันดีมากครับ ที่มีประสบการณ์มาคือพอมันเก่ามันจะหมุนไม่แรงครับอาจทำให้การระบายความร้อนไม่สมบูรณ์นัก ส่วนตัวตามถ้าไม่ดัดแปลงให้มีมอเตอร์ก็ใช้ได้ดีครับ ส่วนของผมที่ดัดแปลงตัวตามไปเป็นแบบมีมอเตอร์ก็คิดว่าจะได้ไม่เป็นภาระของมอเตอร์ตัวหลักมันจะได้มีอายุยืนยาวขึ้นอีกหน่อย แล้วก็เผื่อมันเสียจะได้มีอีกตัวไว้ใช้ชั่วคราวพอเอารถกลับบ้านได้ไม่ต้องจอดทันทีหนะครับ

    29 พ.ย. 2552 , 13:23:58 น

    whitePASSAT

    • บุคคลทั่วไป
    ขอบคุณ คุณส.บี4มากครับ ขอชมว่าบรรยายความได้ดีมากครับ เกิดมโนภาพตามไปอย่างดีเลย รถผมติดออยเกียร์อากาศเรียบร้อยแล้วแต่ก็ยังร้อนอยู่กดMFAเช็คความร้อนก็ยังสูงมากเกิน100  สงสัยพัดลมไฟฟ้าผมเริ่มออกอาการอยากกลับเยอรมันเสียแล้ว วันนี้วิ่งมาทำงานก็ขึ้นตั้ง104-106ขึ้นๆลงๆ สงสัยต้องใช้ตัวช่วยแล้วละครับ คงต้องรบกวนช่างหมุกฯให้มาช่วยอีกแรงหนึ่งด้วย...ผมเห็นด้วยกับเสธ.นะครับที่จะให้มีตัวช่วยเผื่อตัวหลักไม่ทำงาน คงจะติดเร็วๆนี้ละครับ.
    30 พ.ย. 2552 , 08:14:04 น

    ส.b4

    • บุคคลทั่วไป
    ขอบคุณที่ชมครับ คุณ whitePASSAT ผมอ่านทุกกระทู้ในเวบนี้มาสี่ห้าปีแล้วครับ ตั้งแต่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร จนเดี๋ยวนี้ก็พอจะรู้บ้าง และหากมีโอกาสตอบแทนท่าน ผมก็ขอตอบแทนด้วยการแจ้งผลการใช้รถอย่างนี้ละครับ แต่จะแนะนำการซ่อมคงไม่ไหวครับ

    ในเรื่องของ MFA ครับ เมื่อก่อนหน้าที่จะติดตั้งออยเกียร์อากาศ ผมเองยังเข้าใจว่า MFA นั้นแสดงอุณหภูมิของน้ำมันเกียร์ (transmission oil) แต่ภายหลังไปเจอข้อความในเวบนี้ จึงรู้ว่ามันแสดงอุณหภูมิของน้ำมันเครื่อง (engine oil) เท่านั้น

    ของเดิมที่ใช้ ออยเกียร์น้ำ โดยใช้น้ำจากหม้อน้ำรังผึ้งมาเป็นตัวอุ่นในขณะเย็น (หมายถึงเย็นทั้งอากาศภายนอกและหรือทั้งเครื่องยนต์ด้วย) และเป็นตัวระบายในขณะร้อน เมื่อมาใช้ในเมืองเราซึ่งมีอากาศร้อน ในเวลาที่รถติด หรือ การขับขี่ในที่สูงชัน การใช้เกียร์ต่ำ เป็นระยะเวลา/ทางยาว การระบายความร้อนของระบบนี้ ทำไม่ทันครับ มันจึงเกิดความร้อนสะสม (น้ำมันเครื่องร้อนขึ้น ทำให้น้ำมันเกียร์ร้อนขึ้น / น้ำมันเกียร์ร้อนขึ้นก็ดันให้น้ำมันเครื่องร้อนขึ้น ในที่สุดก็รวนครับ พอดับเครื่องปล่อยให้เย็นลง ก็ขับได้เหมือนเดิมอีก)

    พอเปลี่ยนแปลงมาเป็นใช้ออยเกียร์อากาศแล้ว การระบายความร้อนของน้ำมันเครื่องกับน้ำมันเกียร์ ก็แยกออกจากกัน  พอเรากด MFA ก็เป็นการวัดอุณหภูมิน้ำมันเครื่องเพียงอย่างเดียว ไม่เกี่ยวข้องกันกับน้ำมันเกียร์อีกต่อไปแล้วนะครับ ฉะนั้น ถ้าน้ำมันเครื่องยังร้อนอยู่ก็ไม่เกี่ยวกับออยเกียร์อีกแล้ว น่าจะเป็นสาเหตุอื่นใดในระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์ครับ

    ที่ผมตอบมาทั้งหมดนี้ใช้วิธีการอนุมาณเอาจากรถของตนเอง นะครับ อาจมีข้อเท็จจริงที่ถูกต้องมากกว่านี้ก็ได้ จากการสังเกตนั้น b4 คันที่ผมกำลังใช้อยู่นี้ หลังจากเปลี่ยนออยเกียร์แล้วสามารถแยกความร้อนออกจากน้ำมันเครื่องได้ประมาณ 8 องศา (ในขณะรถติดหรือ over load) และได้ 12-16 องศา (ในขณะที่วิ่งทางเรียบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ambient temp)

    เคยอ่านพบในกระทู้ในเวบนี้ว่า วัดอุณหภูมิน้ำมันเกียร์ต้องใช้เครื่อง VAG วัดครับ  ผมไม่มีเครื่องนี้ก็เลยใช้วิธีเอามือคลำสัมผัสที่คอนโซลตรงแถวๆด้ามเกียร์ครับ

    30 พ.ย. 2552 , 15:03:19 น

    • บุคคลทั่วไป
    mwtwobk
    4 พ.ย. 2011 , 17:28:25 น

    • บุคคลทั่วไป
    rutkju
    23 พ.ย. 2011 , 17:15:50 น